วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

การมาวัดฯครั้งแรก

การมาวัดพระธรรมกายครั้งแรกของผม

ผมมีเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นเพื่อนเรียนในโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยมต้น-ปลาย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  เพื่อนผมคนนี้เราสนิทกันมากกว่าแค่เรียนหนังสือ เพราะเรายังเป็นแก็งส์เดียวกัน คือ เราเคยเล่นไพ่ กินเหล้า หนีโรงเรียนมาเล่นไพ่ที่บ้านเพื่อนคนนี้ตั้งแต่ เด็กๆโดยครอบครัวของเพื่อนนี้ก็ยังน่ารัก คือ เห็นแก็งส์เราๆเล่นไพ่กันที่บ้านของเพื่อนคนนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็ทำกับข้าวให้กินกล้วลูกๆเล่นไพ่นานๆแล้วหิว และชวนกินเหล้าด้วยในตอนค่ำๆ  ทำให้ครอบครัวของเพื่อนคนนี้ของผมนับเป็น Idol ของแก็งส์เราไปโดยปริยาย


ตอนเรียน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผมเห็นเพื่อนผมคนนี้ค่อยๆเปลี่ยนไป และมาชัดเจนตอนปี 3 คือเราไปกินข้าวรับน้องใหม่ประจำจังหวัดด้วยกันและไปต่อที่ Pub ฯลฯ แถวเสนา ใกล้ๆมหาวิทยาลัย เพื่อนคนนี้ไม่เคยมากินเหล้าด้วยกับผมนานแล้วจนจำไม่ได้ว่ากินเหล้ากันครั้งสุดท้ายเมือไหร่อาจจะนานมากจนถึงสมัยมัธยม แต่ครั้งนี้ต้องมารับน้องด้วยกันเลยจำเป็นต้องมาด้วย (แบบว่าบังคับให้มา) และการมารับน้องครั้งนี้ผมก็รู้ความจริงว่าเพื่อนคนนี้ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นไพ่แล้วและยังอยู่ชมรมพุทธที่เกษตร และเป็นถึงรองประธานชมรมพุทธที่เกษตรด้วย 

ผมก็เก็บข้อสงสัยไว้กับตัวเองแต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไร คือ สงสัยเสร็จก็เก็บไว้เฉยๆ ไม่ถามต่อแต่ก็ยินดีกับเพื่อนที่เลิกเหล้าได้ ไม่บังคับหรือผืนให้กินเหล้าด้วยกันแต่อย่างไร 

จนมีช่วงหนึ่งที่ผมต้องมาเรียนตอนเช้าก่อน 8 โมงเช้า ทำให้ผมเห็นกิจกรรมถวายสังฆทานใต้ตึกศูนย์เรียนรวม 1 ของชมรมพุทธ และผมได้เข้าร่วมถวายสังฆทานหลายครั้ง แม้บางครั้งผมจะพึ่งส่างเหล้ามาก็ตามยังมีกลิ่นเหล้านิดๆ (ละมุด) สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นแล้วรู้สึกติดตามาจนถึงปัจจุบัน คือ พระพุทธรูปที่นำมาร่วมในงาน เป็นพระพุทธรูปที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา คือ มีลักษณะสมส่วน กลมกลึงไม่ใหญ่ไม่เล็ก ดูสวยงามสมส่วนไปหมดตั้งแต่เศียรจรดปลายฝ่าพระบาท (ตอนหลังมารู้ว่าเป็นลักษณะของมหาบุรุษ 32 ประการ) สิ่งนี้นับเป็นความประทับใจแรกของผมเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ซึ่งตอนนั้นผมไม่ทราบจริงๆว่าเป็น พระวัดพระธรรมกาย แต่ได้มาทราบภายหลัง

ลักษณะพระพุทธรูปที่นำมาเป็นพระประธานในพิธีตักบาตรสังฆทาน ใต้อาคารศูนย์เรียนรวม1 ม.เกษตรศาสตร์ 



ตอนเรียนมหาลัยฯผมกับเพื่อนคนนี้เราก็พบกันในมหาวิทยาลัยบ้างตามงานต่างๆเป็นปรกติ โทรคุยกันบ้างแต่ก็ไม่ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องวัด พระ หรือ อะไรที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา เพราะช่วงผมเรียนมหาวิทยาลัยช่วงปี 4 เป็นช่วงที่ผมกินเหล้ามาก คือ กินเกือบทุกวัน ถือเป็นสายแข็งของภาควิชา และเป็นยอดยุทธของเพื่อน (กินเหล้าขนาดนั้นลงนรกแน่ๆ เพราะตอนนั้นขนาดผมคิดเปลี่ยนหน่วยเงินในกระเป๋าตัวเองเป็น “แบน”ได้(เหล้าแบน)  เช่น มีเงิน 200 บาท  = คือกินเหล้า 2 แบน ทำให้เพื่อนคนนี้เห็นว่า คงยังไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่จะบอกผมเกี่ยวกับเรื่องวัด เรื่องพระและพระพุทธศาสนา 

จนผมเรียนจบ มหาวิทยาลัย เพื่อนคนนี้ก็โทรมาคุยเป็นปรกติ นานๆโทรมาที และคุยกันหลายๆเรื่องและมีเรื่องหนึ่งที่สะดุดใจคือ เพื่อนคนนี้มาเป็นอาสาสมัคร บัณฑิตแก้ว ที่วัดพระธรรมกาย ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเลย ก็แค่รับทราบว่าเพื่อนคนนี้มาเป็นอาสาสมัครที่วัด อะไรซักอย่างแต่ผมก็ยัปฏิบัติตนเหมือนปรกติคือ ทำงาน กินเหล้า คือ กินเหล้าศูกร์ เสาร์ อาทิตย์พักผ่อนเป็นธรรมดากิจวัตรประจำมาเป็น ปี จนมาถึงจุดเปลี่ยนแห่งชีวิตคือ ผมมากินเบียร์กับเพื่อนในงานเกษตรแฟร์ ปี2540 โดยตอนก่อน เดินทางไปกินก็คิดว่าขับรถไปไม่ได้เพราะเมาจะได้นั้ง taxi กลับตอนขาไปก็นั้งTaxi ไป พอทานเหล้าและเบียร์ไปผมก็เมา และพอเมาแล้วหลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้ รู้สึกตัวอีกทีคือ ได้ขับรถของผมเองอยู่ไม่ไกลจากที่พัก และรถสถาพคือ โดนชนกระจกแตก และผมก็นั้งหลังพวกมาลัย ผมจำไม่ได้ว่าผมกลับจากงานเกษตรแฟร์ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรฯตอนไหน และมายังไง และมาขับรถได้อย่างไร และตอนชนกันเป็นอย่างไร รู้ตัวอีกทีก็อยู่หลังพวกมาลัย และก็มีตำรวจมาจับพาไปโรงพยาบาล และก็พาผมมาฝากขังที่ห้องขัง นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมอยู่ในห้องขัง จนตอนเช้าและบ่ายผมได้ติดต่อเพื่อนให้พ่อเพื่อนมาช่วยประกันตัวออกไป 

หลังจากเกิดเหตุการณ์ ผมจะต้องไปรายงานตัวกับตำรวจและถูกสั้งฟ้องขึ้นศาล ซึ่งผมรู้สึกเคล้งคว้างมาก เงินก็ไม่มี งานก็ต้องทำ เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ลำบากใจเลย เพราะท่านอยู่ต่างจังหวัดกลัวว่าจะลำบากมาและกังวลใจเลยตัดสินใจไม่ได้บอกท่าน ปัญหาต่างๆก็เข้ามาผมก็เก็บไว้คนเดียว สิ่งที่ผมคิดได้คือ ผมมีเพื่อนคนนี้อยู่ที่วัด ผมจะไปหาเพื่อไปสงบจิตใจ ในวันเสาร์ผมเลยตัดสินใจหอบ Notebook พร้อมเสื้อผ้าตัดสินใจไปวัดพระธรรมกาย โดยรู้แต่เพียงว่า ขึ้นรถเมย์สาย 29 ตรงหลัง ม.เกษตรฯ เพราะโทรไปหาเพื่อนคนนี้แต่ไม่มีคนรับคือติดต่อไม่ได้

แผนที่เดินทางไปวัดพระธรรมกาย


พอขึ้นรถเมย์ ผมก็บอกกระเป๋าว่าจะไปวัดพรธรรมกาย กระเป๋ารถเมย์บอกว่าลงเชียงราก ผมก็ “อือ” (คิดในใจตรงไหนหว่า) ผมก็บอกกระเป๋ารถเมย์ว่า “ถ้าถึงเชียงรากก็บอกด้วยแล้วกัน” พอถึงเชียงรากใกล้ๆ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิตผมก็ลงตามที่กระเป๋าบอกและผมก็สอบถามคนแถวนั้นว่ามาวัดพระธรรมกายไปยังไงต่อ ก็ทราบว่าต้องเดินข้ามถนนไปต่อ รถมอเตอร์ไซต์ ผมก็ทำตามและบอกว่ากับ พี่รถมอเตอร์ไซต์ว่าไปวัดพระธรรมกาย พี่เค้าก็บอกต่อมาว่า”ไปลงตรงไหน” ผมก็ตอบไปว่าไป”วัดพระธรรมกาย” พี่เค้าก็ทำหน้า งง แต่ก็ไป ผมก็คิดในใจว่า งง ทำไม โดยในความคิดผมตอนนั้น วัดพระธรรมกายเหมือนวัดแถวบ้านผมที่ต่างจังหวัดคือ มีบริเวณไม่กว้างมาก สามารถเดินหากันเจอได้ง่าย

ตอนผมนั้งรถมอเตอร์ไซต์ พี่คนขับก็ถามว่า “ไปลงตรงไหน” ผมก็ตอบไปอีกว่า “วัดพระธรรมกาย” พี่มอเตอร์ไซต์ก็ย้ำอีกทีว่า “ลงตรงไหน” ผมก็สงสัยแล้ว ก็ตอบไปว่า “เดียวไปถึงจะบอก” พอมาถึงวัดและขับรถผ่านหน้าประตูวัดมาด้านหน้า(ตรงบริเวณประตูเข้า วิหารหลวงปู่ปัจจุบัน)  ในตอนนั้นเป็นที่โล่ง สุดลูกหูลูกตา ผมก็อุทานเบาๆ ว่า “โอ้ แล้วมันยังไงนี้” พี่มอเตอร์ไซต์ก็บอกว่า “จะให้ไปส่งตรงไหน” เวลานั้นผมหันไปเจอ อาคารหนึ่งอยู่ไม่ไกลมาก ผมก็บอกว่า “พี่ๆไปจอดตรงนั้น” พร้อมชี้มือไปที่อาคารหนึ่ง มีรูปปั้นช้างตัวใหญ่อยู่ เพราะนอกนั้นเป็นพื้นดินแดงว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา พอมอเตอร์ไซต์พามาส่งยังอาคาร ผมก็แปลกใจมากว่าทำไม วัดถึงได้ใหญ่ ขนาดนี้และจะหาเพื่อนผมเจอได้อย่างไร ....วันนั้นถือเป็นวันประวัติศาสตร์ในชีวิตของผมที่ได้มาถึง “วัดพระธรรมกาย” โดยที่ไม่รู้เรื่องราวของวัดเลยทั้งด้านบวกหรือลบ รู้แต่เพียงว่าผมมีเพื่อนเป็นอาสาสมัคร “บัณฑิตแก้ว” ชื่อ “อรรถชาติ”   ( ซึ่งปัจจุบันเพื่อนท่านนี้ได้บวชเป็นพระอุทิศตนสร้างความดี สร้างบุญบารมี กับหมู่คณะที่วัดพระธรรมกายครับ )  

หลังจากนั้นผมก็ได้สอบถามคนแถวอาคารนั้นว่า ผมจะได้พบ “บัณฑิตแก้ว ชื่อ อรรถชาติ”ได้ที่ไหนถามไป เจ้าหน้าที่ก็ดีมากคือ โทรสอบถามให้และแนะนำว่าตอนนี้ บัณฑิตแก้วเตียมงานบวช พระนักเรียนนายร้อยที่โบสถ์ และแนะนำผมให้เดินไปพบเพื่อนผมที่นั้น พอไปถึงก็ได้พบเพื่อนผม และแจ้งบอกกับเพื่อนผมว่า “ผมจะขอมานอนด้วย” เพื่อนผมก็ งง แต่ก็ยินดี และบอกว่าผมว่างไหมให้มาช่วยงานเตรียมบวชพระที่โบสถ์ ผมก็  OK แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ได้ใช้แรงงานแบกหาม ปูเสื่อ และทำความสะอาดและเป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปใต้ถุนโบสถ์ที่เก็บเสื่อ ทำให้ผมทราบข้อมูลภายหลังว่ามีคนกล่าวหาว่าใต้ถุนโบสถ์เป็นที่เก็บอาวุธสงคราม ผมได้ยินภายหลังจากที่ผมได้เข้าวัดและได้เข้าไปใต้ถุนโบสถ์แล้วก็เลยไม่เชื่อ เพราะผมเห็นกับตาเพราะไปแบกมากับตัวเองว่าเป็นเสื่อเป็นม้วนๆ ที่ใช้ในงานกิจกรรมบวชและอุปกรณ์ต่างๆ นับเป็นการมาวัดพระธรรมกายครั้งแรกของผมกับ สิ่งที่ผม งง กับความใหญ่ของพื้นที่วัดที่ว่างเปล่า และได้บุญยลาภอันใหญ่คือ ไปช่วยงานบวชพระ

                                                         โบสถ์วัดพระธรรมกาย



พอตอนค่ำเพื่อนผมก็พาผมไปลงทะเบียนนอนเป็น อาสาสมัคร ซึ่งผมได้รับ กลด หมอนและผ้าห่มไปนอนรวมกับ อาสาสมัครคนอื่นๆที่ โรงนอนมุงจาก ภายใต้มุ่งขนาดใหญ่เท่าห้องอันเดียวกัน นอนเรียงกันเป็นแถว โดยทุกคนปูผ้า หรือไม่ปูผ้านอนเพราะมีเสือน้ำมันอยู่แล้ว โดยแต่ละคนมีกลดของใครของท่าน อยู่บางคนต้องการความเป็นส่วนตัวก็ ใช้กลด บางคนก็ไม่ ผมก็เป็นคนที่ไม่ใช้กลดนอน เพราะทำไม่เป็น ฮา ฮา 

นับเป็นวันและคืนแรกที่ผมได้มาวัดพระธรรมกาย โดยหลังจากนั้นก็มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้น เพราะผมเข้าวัดในปี พ.ศ.2540 เกิดเหตุการณ์กับวัดและเกิดเหตุการณ์กับผมมากมาย  คงไม่สามารถสรุปได้ในระยะเวลาอันสั้นเพราะระยะเวลารวมก็มากกว่า 19 ปี (ตอนบันทึกปี 2559)มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นมากมายที่ผมอยากจะบันทึกไว้ เช่น  การชวนเพื่อน, ตอนเที่ยวก็เที่ยวเหล้าก็กิน วัดก็เข้า, การต้องจากวัดมาไกลถึงเชียงใหม่, วิธีเลิกกินเหล้า, การฝึกนั้งสมาธินั้งปวดหัวปวดตัว มืดตือมืดมิดมามากกว่า  10 ปี และ การฝึกสมาธิ, การตัดใจบริจาคทานเริ่มต้นจากเหรียญบาท กลายเป็นหลักแสนได้ไง แบบ งงตัวเอง ,การชวนแม่มาวัดพระธรรมกาย ,การชวนเพื่อนบวช การตัดสินใจบวชครั้งที่ 1 ,การตัดสินใจบวชครั้งที่ 2  และอีกหลายๆเรื่องที่ผมจะทำบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ส่วนตัว ให้ผมได้มาเตือนสติตัวเองว่า

               “เราไม่ได้ดี เราไม่ได้เก่ง แค่เราไม่เลิกในการสร้างบุญบารมีเท่านั้นเอง“





25 ความคิดเห็น:

  1. วัดเป็นที่รวมของคนที่มาทำความดี ส่วนชีวิตช่วงวัยรุ่นอยู่กับการทดลองเเสวงหา เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ตอนนี้เพื่อนมีบทบาทมากเป็นสิ่งสำคัญที่จะพาเราไปพบกับสิ่งใด วัดกับวัยรุ่นอาจจะเป็นคำตอบในการเเก้ปัญหาเยาวชนในยุคปัจจุบัน เหมือนประสบการณ์ที่เขียนมมานี้ก็ได้ครับ

    ตอบลบ
  2. สุดยอดเลยครับ👏👍

    ตอบลบ
  3. เป็นแบบอย่างที่ดี

    ตอบลบ
  4. เป็นแบบอย่างที่ดี

    ตอบลบ
  5. อนุโมทนาบุญค่ะ

    ตอบลบ
  6. อนุโมทนาบุญค่ะ

    ตอบลบ
  7. “เราไม่ได้ดี เราไม่ได้เก่ง แค่เราไม่เลิก
    ในการสร้างบุญบารมีเท่านั้นเอง"
    ยอดเยี่ยม สาธุค่ะ

    ตอบลบ
  8. ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

    ตอบลบ
  9. ทำบทความได้ดีครับน่าอ่าน ขอให้ทำต่อไปเพื่อสังคมโลกจะได้รับทราบเรื่องราวดีๆแบบนี้ครับ!👍

    ตอบลบ
  10. ทำบทความได้ดีครับน่าอ่าน ขอให้ทำต่อไปเพื่อสังคมโลกจะได้รับทราบเรื่องราวดีๆแบบนี้ครับ!👍

    ตอบลบ
  11. ขออภัยช่วยแก้ไขลักษณะมหาบุรุษมี 32ประการไม่ใช่ 38 ประการ ช่วยแก้ด้วยนะคะ

    ตอบลบ
  12. อ่านแล้วเห็นภาพชัดเจน ... สาธุ

    ตอบลบ
  13. อนุโมทนาด้วยค่ะ

    ตอบลบ
  14. อนุโมทนาสาธุค่ะ เยี่ยมมากเลยค่ะ

    ตอบลบ
  15. อนุโมทนาสาธุค่ะ เยี่ยมมากเลยค่ะ

    ตอบลบ
  16. อืมได้ไอเดียในการ เขียน bog เป็นตัวอย่างที่ดีมากเลยคะ

    ตอบลบ
  17. น่าอ่าน น่าติดตาม อ่านแล้ว fin!!!!เพราะรู้สึกว่ามันมาจากใจ

    ตอบลบ
  18. อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ ...ช่างเป็นความประทับใจที่งดงามจริง ๆ ค่ะ ...

    ตอบลบ
  19. เขียนได้น่าอ่าน...น่าติดตาม อนุโมทนาค่ะ

    ตอบลบ
  20. เขียนได้น่าอ่าน...น่าติดตาม อนุโมทนาค่ะ

    ตอบลบ
  21. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ