วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

หลวงพ่อธัมมชโย ความประทับใจเล็กๆของผม

ผมเริ่มรู้จักหลวงพ่อเมื่อผมเข้าวัดพระธรรมกายแล้ว จากการอ่านประวัติของท่านในหนังสือหลายเล่มทั้งจากหนังสือที่เขียนโดยหลวงพ่อทัตตชีโว ที่เขียนถึงท่าน หรือหนังสือต่างๆที่เกี่ยวกับท่าน เมื่อรู้จักท่านจากการประวัติของท่าน รู้สึกดีใจที่หลวงพ่อธัมมชโย และหลวงพ่อทัตตชีโวเป็นรุ่นพี่ที่ม.เกษตรและพอทราบว่าหลวงพ่อธัมมชโยเรียนคณะเดียวกันก็ยิ่งปลื้ม ทำให้เวลาอ่านประวัติของท่านไป ก็ได้นึกตามถึงบรรยากาศในม.เกษตรศาสตร์ในสมัยที่หลวงพ่อทั้ง 2 เป็นนิสิตอยู่ ทำให้รู้สึกชุมช้ำใจ พรรณทำให้นึกถึงละอองฝนที่ตกลงมาเบาๆ ในบรรยากาศต้นไม้น้อยใหญ่ และหยดน้ำพื้นหญ้าในบริเวณ ม.เกษตรศาสตร์


 เพราะผมรู้สึกถึงลักษณะบางอย่างของนิสิต ม.เกษตรโดยเฉพาะ ที่มีความโหด มันฮา และจริงใจต่อกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้ผมทราบจิตใจที่เด็ดเดียวของหลวงพ่อธัมมชโยที่ตั้งใจรักษาศีล และรักการศึกษาธรรมะมากในขณะที่เป็นนิสิต เรื่องธรรมะเป็นเรื่องที่คนอายุอยู่ในช่วงวัยรุ่นสมัยนั้นที่ไม่มีชมรมพุทธอยู่ในมหาวิทยาลัย อยู่ในช่วงสังคมแสวงหา ใครเรียนปริญญาตรีเหมือนเป็นเทวดา และการที่มีสภาวะแวดล้อมคนที่พึ่งออกจากบ้าน จากพ่อแม่ มาอยู่เพื่อนๆในช่วงเรียนหนังสือ เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากมากๆ โดยเฉพาะการเป็นนิสิต ม.เกษตรที่มีเพื่อนเฮี้ยวๆ เฮฮา รักพวกพองกันมากเป็นพิเศษ สำหรับผมประทับใจตอนที่ หลวงพ่อทั้ง 2 พบกัน โดยหลวงพ่อธัมมชโยของเรากล้าบอก หลวงพ่อทัตตชีโวในตอนเป็นนิสิตว่า"ถือศีล " กลางวงเหล้า เพราะผมก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ตอนเรียนที่ม.เกษตร ดื่มเหล้าพอสมควรไปถึงดื่มมาก เลยเข้าใจบรรยากาศในวงเหล้า ทำให้ประทับใจหลวงพ่อธัมมชโย ในเรื่องความกล้าหาญเด็ดเดียวในธรรมะตั้งแต่ตอนยังไม่ได้บวช ที่ "กล้า" แม้บางท่านอาจจะมองเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับผม ช่างเท่ห์เหลือเกิน



 บริเวณหน้าประตู ถนนพหลโยธิน


 อีกเรื่องที่ผมประทับใจหลวงพ่อ และทึ่งมากๆคือ ตอนที่ผมเข้าวัดฯแล้วและเริ่มเรียนรู้และศึกษา วิธีการนั้งสมาธิ วิชชาธรรมกาย จากหนังสือและCD นำนั้งสมาธิของหลวงพ่อธัมมชโย โดยผมซื้อแผ่นนำนั้งสมาธิมาฟังเกือบทุกแผ่น โดยผมสามารถเก็บสะสมได้เกือบ 30 แผ่น ในสมัยปี2541-45 โดยผมจะเปิดฟังทั้งในบ้าน ตอนนั้งสมาธิ ตอนนอน ตอนขับรถ หรือตอนที่ว่างๆฟังตลอด โดยภายหลังเมื่อมีiPod รุ่นแรก ผมก็เอานำนั้งสมาธิหลวงพ่อเข้าเครื่องและเปิดฟัง สมัยก่อน ipod เครื่องแรกของผมที่มีหน่วยความจำแค่ 1G คือใส่เสียงหลวงพ่อได้ไม่กี่สิบช่วง(ตอน)แต่ก็ฟังวนไปวนมา. จน ipod นับจำนวนฟังได้หลายร้อยรอบต่อการนำนั้งสมาธิ 1 ช่วง(ตอน) หมายถึงว่าผมฟังเสียงนำนั้งสมาธิของหลวงพ่อธัมมชโยเป็นพันครั้งแน่นอน ที่ทึ่งไม่ใช้ผมฟังเยอะแต่ที่ทึ่งคือ


   1.หลวงพ่อพูดเรื่องเดิมๆ..."ถึงเวลาธรรมกาย ..หลับตา.." ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีได้อย่างไร เพราะทุกแผ่นก็จะคุยเรื่องเดิมวิธีการเดิมๆอาจมีแตกต่างๆบาง หรือลึกลงไปถึงการอธิบาย 18กายบ้าง เทศน์เรื่องธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างแต่เนื้อหาก็วนๆการนั้งสมาธิแบบเดิมคือ  "สติ สบาย สม่ำเสมอ" "หยุด" "กลาง" ซ้ำไปมา 
   2.ท่านพูดในลักษณะเสียง เท่าเดิม น้ำเสียงฟังแล้วนุ่ม ฟังสบาย เพลิน ชวนฟังเหมือนกันตลอดทุกตอน ได้อย่างไร
   3.ท่านสามารถนำเรื่องที่ยาก ทำให้ฟังง่าย เชิญชวนให้ทำได้ง่ายๆ ได้อย่างไร
   4. ท่านไม่เคยพูด คำพูดที่ ไปทำให้ใจคนฟังตกต่ำหรือพูดคำหยาบหรือพูดว่าร้ายใครเลย ไม่เคยแนะนำให้เราไปคิดร่าย ว่าร้าย และทำร้ายใครเลย 
   5.คำพูดของหลวงพ่อมีแต่เชิญชวนไปทำความดี อย่างเดียว และไม่จำกัดว่าต้องทำบุญเฉพาะที่วัดพระธรรมกาย 
   6.หลวงพ่อพูดเรื่องที่ รุนแรงที่สุดหรือเลวร้ายที่สุด ได้อย่างเป็นมิตรที่สุดอย่างไม่น่าเชื่อ คือ ไม่มีพูดว่าร้ายใครเลย 


สุดท้าย ผมคงไม่อาจเล่าเรื่องความประทับใจในตัวหลวงพ่อธัมมชโย ได้หมดแน่นอน เหมือนผมจะพยายามอธิบาย แสงแดด ว่ามีคุณประโยชน์ต่อโลกอย่างไรก็คงไม่สามารถบอกได้หมดแน่ๆ

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559

หลวงพ่อ...ทำให้ดีขึ้นด้วยคำถามที่มีอยู่ในใจ

หลวงพ่อ...คำถามของผมเกี่ยวกับหลวงพ่อธัมมชโย

ส่วนตัวผมเคยมีคำถามมากมายเกี่ยวกับ หลวงพ่อฯท่านทำไม  ไม่ ??? 
เอะ อะ. อุ. ทำไมหน่อ เมือได้เห็นฟังก็ได้คิด เมือได้คิด ก็คิดได้ เช่น

คำถามในใจ  หลวงพ่อ ท่านทำไมไม่สร้างวัดเล็กๆและปฏิบัติธรรมของท่าน ไปสร้างวัดใหญ่ๆทำไม ??
                                                           ขนาดวัด 2,500 ไร่ในปัจจุบันดูเล็กลงไปถนัดตา



 ผมได้เห็นได้พิสูจย์จึงได้พบว่า: ท่านมีความเมตตามากๆ มีเป้าหมายชัดเจน ท่านมีความเคารพครูบาอาจารย์หลวงปู่สดวัดปากน้ำ ที่สั้งคุณยายฯให้ขยายงานวิชชาธรรมกายไปทั่วโลก การสร้างวัด สร้างพระ ก็เพื่อขยายงานวิชชาธรรมกายของหลวงปู่ คุณยาย ไปให้คนทั่วโลกได้เข้าถึงเท่านี้จริงๆ เพราะส่วนตัวของท่าน (ผมคิดนะ) ก็ไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้สบายแล้ว



คำถามในใจ  หลวงพ่อ ท่านทำไมต้องให้ทำบุญเยอะๆด้วย เยอะมากกว่าวัดอื่นๆมากๆ จนบางครั้งก็คิดว่าทำบุญมากไปหรือเปล่า ??

ภาพการที่คนนับล้านคนมาร่วมทำบุญและนั้งสมาธิ


 ผมได้เห็นได้พิสูจย์จึงได้พบว่า การทำบุญ เป็นต้นทางและเป็นสเบียงเอาไว้ใช้ในชีวิตยามปรกติ เพื่อเวลานั้งสมาธิ ตอนมีบุญมากหรือนึกถึงบุญแล้วปลื้มจะทำให้การนั้งสมาธิประสบความสำเร็จได้ง่าย และ พอเราไม่ทำบุญชีวิตก็จะประสบความลำบากมากกว่าตอนทำบุญและเวลานั้งสมาธิ จะพบความไม่สบายกายสบายใจ ฟุ้งซ่านได้ง่าย เวลาใจเราไม่ได้อยู่ในบุญ 

การทำบุญแล้วปลื้มจึงต้องมีขนาดพิเศษสำหรับตัวเรา เช่น การตัดความตระหนี่ของตนการตัดใจทำบุญ,การบวช, การทำบุญที่เกิดขึ้นได้ยาก เช่น การหล่อหลวงปู่ทองคำ, การเข้าปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเราต้องเสียสละเวลาในทางโลกมาศึกษาทางธรรมอย่างต่อเนื่องเป็นต้น
จึงทำให้หลวงพ่อพยายามสร้างงานบุญให้เราได้ทำ เพราะความปลื้มในบุญเป็นสิ่งสำคัญในการฝึกสมาธิมากๆเคล็ดไม่ลับของการฝึกสมาธิให้ประสบความสำเร็จคือการปลื้มในบุญอย่างต่อเนื่อง ถ้าเราไม่มีงานบุญที่ปลื้มมมากๆเยอะๆเราก็จะฝึกสมาธิได้ติดๆขัดๆ ไม่ลื่นไหล เข้าถึงธรรมได้ยาก

คำถามในใจ  หลวงพ่อ ท่านทำไมสอนสมาธิแบบเดียวกันมากว่า40 ปี ไม่เปลี่ยนแปลงเลย ขึ้นต้น"ได้เวลาธรรมกาย..ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย..หลับตาเบาๆ..." ท่านไม่เบื่อหรือ และไม่มีเทคนิคอย่างอื่นในการฝึกสมาธิแล้วหรือ ??


คำสอนของหลวงพ่อทุกคำ เหมือนกับที่หลวงปู่สดสอนไม่มีผิด 


 ผมได้เห็นได้พิสูจย์จึงได้พบว่า  ทุกคำของหลวงพ่อมีบางสิ่งบางอย่างพิเศษเสมอ เช่น ได้เวลาธรรมกาย ตอนแรกฟังจีงคิดว่า  "ได้เวลานั้งสมาธิ
ต่อมาฟังจึงคิดได้ว่า  "ได้เวลาหยุดใจแบบวิชชาธรรมกาย
ต่อมาฟังจึงได้คิดว่า  " ได้เวลาฝึกสมาธิของคนทั้งโลกพร้อมๆกัน เราต้องทำงานเป็นทีม"
ต่อมาฟังจึงได้คิดว่า  "ได้เวลาที่เราต่องสละทุกสิ่ง ทิ้งทุกอย่างเพื่อฝึกวิชชาธรรมกาย บุญก็ไม่เอา บาปก็ไม่มีตัวตนก็ไม่เอา"

ทุกๆคำของหลวงพ่อ เราอย่าดูเบาเพราะจะมีเรียบง่ายๆแต่ลึกๆๆๆทำให้เรายิ่งฟังยิ่งเข้าใจว่าธรรมะเป็นของลึกซึ่ง ต้องปฏิบัติถึงจะเข้าใจว่า



หลวงพ่อธัมมชโย จึงเป็นต้นแบบของความดี ท่านสอน ท่านแนะนำ ท่านนำเสนอ ท่านทำเป็นตัวอย่าง ให้ลูกๆทุกคนได้เห็น ให้ได้ยิน ได้อ่าน และได้ทำตาม หลวงพ่อฯ เพราะการตามติดติดตามหลวงพ่อเราจะพบสิ่งที่ดีๆๆๆๆๆๆยิ่งๆๆๆๆขึ้นๆๆๆไป ผมพิสูจย์แล้วจึงได้คิดและพูดและทำอย่างนี้ครับ

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

สมาธิ สิ่งดีๆที่ทุกคนบนโลกต้องทำ

ผมมายืนยันนั้งยันนอนยันทุกอริยาบทยืนยันว่า "การทำสมาธิ"ดีจริงๆเรียกได้ว่าวิเศษสุดๆเลยก็ได้ 

         สำหรับผมตอนแรกของการฝึกสมาธิเพื่อมาช่วยเหลือผมเรื่องการเรียน คือ ผมรู้ว่าสมาธิดี ช่วยในการเรียนตอนแรกคิดว่าช่วยให้จำดีขึ้น ก็เลยฝึกสมาธิ แต่เมื่อฝึกไปแล้วแม้ผลการปฏิบัติสมาธิยังมืดตือมืดมิดอยู่ ผลการเรียนจากได้เกรดยอดนิยม 2นิดๆ (คือ เกรด 2เป็นเกรดยอดนิยมของคนหมู่มาก) กลายเป็นเกรด 3.85 โอ้เกิดมาผมไม่เคยได้เกรดขนาดนี้เลยแม้แต่ตอนเรียน ประถมและมัธยม ก็ตามสิ่งที่ผมคิดว่าหลังจากฝึกสมาธิแล้วช่วยในการเรียนคือ ความเข้าใจในบทเรียนเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น คือ พอเข้าใจก็จดจำได้เอง, การมีสติในการอ่านหนังสือคือไม่เผลอใจไปคิดเรื่องอื่นตอนอ่านหนังสือ และรู้จักสอนตัวเองได้คือ สอนตัวเองให้ตั้งใจเรียนและอ่านหนังสือเองโดยไม่ต้องมีใครมาสั่งจะรู้และปฏิบัติตัวเองว่าควรทำอย่างไร ซึ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นเองหลังจากการนั้งสมาธิเป็นประจำทุกวัน แบบวันละ 1เหมื่อย คือ นั้งเหมื่อยมากๆก็เลิกนั้ง แม้ผลการปฏิบัติสมาธิยังไม่ปรากฏชัดเจนหรือยังมืดคือมืดมิดอยู่


สมาธิช่วยเรื่องการเรียน

สมาธิช่วยให้หาทรัพย์ได้ง่ายขึ้น คือ ตอนทำงานแล้วการฝึกสมาธิเป็นประจำจะรู้เรื่อง และเข้าใจเรื่องการทำบุญมากขึ้น รวมทั้งสอนตัวเราเองให้รู้จักการรักษาศีลแบบอัตโนมัติไปเอง พอมีศีลและทำทานบ่อยๆย่อมเป็นทางให้ได้มาซึ่งทรัพย์เป็นปรกติอยู่แล้ว และพอมีสติจากสมาธิก็จะไม่โลภ รู้จักการประมาณว่าทรัพย์มาโดยชอบหรือไม่ ใช้จ่ายอย่างไร พอทำงานสุจริต ทรัพย์จะมาแบบไม่ขาดสายคือ เงินทองเข้ามาแบบง่ายๆ เพราะ ผมคิดว่าพอเรามีศีล มีการทำบุญ มีสติ การพูดจา แววตา สีหน้า น้ำเสียง ดูเป็นคนดี น่าเชื่อถือ น่าอยู่ใกล้น่าฟัง แน่นอนที่ว่าใครก็อยากทำงานหรือร่วมงานหรืออยากซื้อของกับเราทั้งนั้น ทำให้ไม่ยากที่การทำสมาธิจะเป็นบ่อให้เกิดทรัพย์ แต่ก็มีปฏิหารการขายของหลายๆครั้งมาให้เป็นประสบการณ์เหนือความคาดคิดจากการนั้งสมาธิ เหมือนกัน


สมาธิช่วยในการทำงานหาทรัพย์


นอกจากสมาธิจะช่วยเรื่องการเรียนและการหาทรัพย์แล้ว ผมยังเคยทดลองเรื่องการรักษาโรค ปวดหัว และความดัน ว่าสามารถช่วยให้หายได้ไหม ก็พบว่า สามารถให้หายได้จริงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทดลอง คือสามารถระงับความปวดหัวได้ทันที และอาการความดันไม่ปรากฏขึ้นทันที แต่ระยะยาวไม่แน่ใจเพราะคงต้องดูๆไปแต่ตอนนี้ก็ผ่านมาระยะเวลหนึ่งแล้วก็ok อยู่ และมีอีกมากมายผลที่ได้จากสมาธิ เช่น การแก้ไขปัญหาต่างๆจากเป็นไปไม่ได้ จนปัญญา จนมาแก้ไขได้ง่ายจนคิดไม่ถึง, การได้รับโชคแบบไม่คิดว่าจะได้ก็ได้มา, การวางแผนการทำงานที่ซับซ้อนสามารถทำให้ง่ายขึ้น,การ present งานหรือการพูดหน้าเวที หรือสถานที่ต่างๆลดความประหม่าได้, การสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นหรือแนวคิดใหม่ เป็นต้น

สมาธิช่วยโรคปวดหัว



จนทุกวันนี้ผมใช้สมาธิในการนำชีวิต คือ ทุกวันจะพยายามปล่อยใจให้สบายอยู่ในสมาธิทั้งวัน ทุกอย่างก็จะลงตัวของมันเองทุกๆเรื่อง บางครั้งก็ลองไม่ทำสมาธิก็รู้สึกชีวิตวุ่นวายดีจนผมแปลกใจจนเลิกแปลกใจ และไม่รู้จะบอกกับนักคิดเยอะได้อย่างไรว่าผมทำงานเยอะแยะแต่เหมือนผมไม่ได้ทำอะไรเลยได้อย่างไร ผมตอบได้คำเดียวว่าผม"ทำสมาธิ"

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

หลวงพ่อธัมมชัยโยที่ผมรู้จัก

ผมเข้าวัดพระธรรมกายมาเป็นระยะเวลาเกือบ20ปีตั้งแต่ปี2540 (ปัจจุบันปี 2559) 


                                                                   คุณครูไม่ใหญ่ (หลวงพ่อธัมมชัยโย)

ถ้าให้หลวงพ่อเป็นคุณครู(ไม่ใหญ่)ผมก็เป็นเด็กนักเรียนอนุบาลประเภทชอบอยู่หลังห้อง คือ คล้ายๆจะไม่ค่อยตั้งใจเรียน แต่ก็คอยฟังครูอยู่ห่างๆ ให้ทำการบ้านอะไรก็ทำ ให้ทำงานก็ทำ ไม่เคยมีบทบาทอะไร  ไม่รบกวนผู้อื่นในห้องเรียน ผมเฝ้าสังเกตหลวงพ่อฯศึกษาประวัติ อ่านหนังสือต่างๆเกี่ยวกับหลวงพ่อฯ ซื้อCD นำนั้งสมาธิหลวงพ่อจนถึงชุด19 ผมก็ไม่ได้ซื้อแล้วครับเพราะมีให้โหลดฟรีครับเลยไม่ซื้อละครับ เปิดฟังในwww.dmc.tv   (http://www.dmc.tv/meditation/mp3player.php) ได้เลย 
(ปรกติแผ่นCDแผ่นละ10-20บาทก็ถูกมากแล้วครับ


           ผมฟังเสียงนำนั่งสมาธิหลวงพ่อเกือบทุกชุด และฟังซ้ำๆกันแต่ละเรื่องเป็นหลักหลายสิบ ถึงหลายร้อยรอบ ตอนหลังทราบจำนวนที่ฟังได้เพราะได้load ไปฟังกับipodครับ เลยทราบจำนวนรอบในแต่ละfile ที่ฟัง คือผมชอบฟังตอนก่อนนอนและปล่อยให้เสียงหลวงพ่อดังทั้งคืนระหว่างหลับโดยหวังว่า กายละเอียดของผมจะได้ฟังและค่อยมาสอนกายหยาบต่อ (ไม่รู้จริงหรือเปล่า ผมก็ตู่ไปเองครับ) โดยผมสังเกตว่าเนื้อหาของ เสียงนำนั่งสมาธิของหลวงพ่อก็จะพูดเรื่องเดิมคือ จะแนะนำวิธีการเข้าไปสู่"ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 "  และเมื่อเข้าไปแล้วจะพบอะไรจนถึงที่สุดสายปลายทาง ตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ผมฟังมา 20 ปี พูดเรื่องเดิม ซ้ำๆ โดยที่ผมฟังแล้วทึ่งว่า ท่านพูดเรื่องสมาธิ แบบเดิมๆเรื่องเดิมๆซ้ำๆกันตลอดระยะเวลา 40-50 ปีได้อย่างไร ท่านไม่เบื่อหรือ และทำไมไม่มีเรื่องแปลกใหม่เลย เรื่องก็วนๆเวียนๆ อยู่ที่ "ศูนย์กลางกาย, ฐานที่ตั้งของใจฐาน,ดวงปฐมมรรค,กายธรรม,ธรรมกาย, กายหยาบ,กายละเอียด ,18กาย ,หยุดเป็นตัวสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงพระนิพพาน, " แต่ฟังจากน้ำเสียงท่านก็ไม่น่าจะเบื่อนะครับ กลับฟังแล้วมีความสุข  สบาย ทุกครั้งไป ผมก็ฟังมา20ปี ก็รู้สึกแปลกนะครับเรื่องเดิมๆจะมีมิติแปลกใหม่ทุกครั้งที่ฟัง แม้แต่เรื่องเดิมfile เดิม แทบจะจำทุกคำพูดของหลวงพ่อได้แล้วแต่ก็รู้สึก ในประโยคในคำพูดจะมีสิ่งสะกิดใจให้รู้สึกพิเศษได้ทุกครั้ง เหมือนเป็นเรื่องใหม่ ที่เราพึ่งเข้าใจบ่อยครั้งไป ซึ่งนับว่าแปลกมากๆ สำหรับผมซึ่งผมลองไปศึกษาตำราและcd เสียงนำนั่งสมาธิของหลวงปู่สดวัดปากน้ำ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายก็พบว่า หลวงพ่อฯก็สอนเหมือนกัน เรื่องเดียวกันไม่แตกต่าง พิธีบูชาข้าวพระ วิธีการบริกรรมนิมิตร , วิธีบริกรรมภาวนา"สัมมา อะระหัง" เหมือนกันหมด แตกต่างตรงเนื้อเสียงของผู้พูดเท่านั้น คือ เสียงหลวงพ่อธัมมฯจะนุ่ม หวาน อ่อนละมุน เสียงหลวงปู่สด จะหนักแน่น ชัด กังวาล เข้มแข็งแต่มีเมตตา ผมไม่รู้จะบรรยายยังไงก็ต้องลองไปหาฟังกันนะครับ 


                                      https://www.youtube.com/watch?v=-GtYH2hSpmU
                                               นำนั่งสมาธิหลวงปู่สด วัดปากน้ำ

                                             https://www.youtube.com/watch?v=l22-gsJaVOE
                                           นำนั่งสมาธิหลวงพ่อ ธัมมชัยโย วัดพระธรรมกาย


บทสรุปสุดท้าย ตั้ง 20ปีที่หลวงพ่อฯที่พยายามเขี่ยวเข้นเด็กนักเรียนอนุบาลโข่งหลังห้องแบบผม ผมทราบซึ่งพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างมากที่สุดถึงที่สุดเพราะถ้าไม่มีหลวงพ่อฯผมก็คงเป็น เด็กนักเรียนอนุบาลตาบอด มืดมิด ไม่พบหนทางสว่างที่แท้จริง เพราะมั่วแต่สนใจแสงหิ่งห้อยของกิเลสที่อยู่รอบตัวไม่หันมามองแสงสว่างภายในตัวเอง ไม่เข้าใจเรื่องจริงของโลกและเป้าหมายที่แท้จริงของมนุษย์ ไม่รู้จักการแสวงหาความสุขที่แท้จริง  กราบขอบพระคุณหลวงพ่อฯด้วยใจอันมั่นคงเคารพในพระคุณอันหาเปรียบไม่ได้ กราบมนัสการ


วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

ผลของการเข้าวัดพระธรรมกายในช่วงแรก


เมื่อได้เข้าวัดพระธรรมกายมาได้ระยะนึงประมาณ2-3เดือน ปัญหาก่อนเข้าวัดฯที่มีคือ ถูกตำรวจส่งฟ้องศาลเนื่องจากเมาขับรถและชนมอเตอร์ไซด์คนได้รับบาดเจ็บ โดยคดีต่างๆก็ดำเนินไปในชั้นสืบสวนของศาล   คดีก็ดำเนินไป งานผมก็ทำไป สตางค์ก็ไม่ค่อยมีทำงานมาก็ไม่เคยมีเงินเก็บใช้จ่ายเดือนชนเดือนแบบไม่มีหนี้สิน 

ส่วนตัวผมหลังจากเข้าวัดก็ถือศีล 5-8 สลับไปมาและเข้าวัดทุกวันเสาร์อาทิตย์ โดยไปช่วยงานอะไรที่วัดฯก็ทำไปหมด ใครให้ไปไหนก็ไป ไม่มีสังกัด ไม่รู้จักใคร ทำไปเรื่อยๆวันไหนนอนที่วัดได้ก็นอน ผลการนั้งสมาธิปฏิบัติธรรมแบบไม่มีพื้นฐาน 2-3 เดือนโดยทำตามเสียงนำนั้งสมาธิไปเรื่อย ก็มืดตื้อมืดมิด มึนงงบ้างตามแรงบีบเค้น นั้งไปปวดเหมื่อยไปหมดทุกส่วนตั้งแต่เล็บเท้ายันปลายผม สลับหมุนเวียนกันไปเกือบทุกอวัยวะ แต่ก็อดทนเอาเพราะรู้ว่าสมาธิดีและคิดว่าเป็นเวรกรรมของเราเองที่เคยกินเหล้ามาแต่ก็สู้แบบ มวยวัดคือ มีเป้าก็วิ่งไปชนเป้า



แต่ธรรมะที่หลวงพ่อธัมมชัยโยเทศน์รู้สึกฟังแล้วเข้าใจมากกว่าที่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เลยไปซื้อหนังสือและเทป
หลวงพ่อเอาไปฟังเพราะรู้สึกฟังง่ายและเข้าใจ และยิ่งฟังซ้ำมากก็ยิ่งเข้าใจ


 ทำให้ช่วง 2 เดือนหลังจากเข้าวัด ที่ทำงานมีคำชมว่า ทำงานดีขึ้น หน้าตาผ่องใส พูดคุยดีขึ้นมากแบบผิดปรกติ ยอดขายสินค้าทะลุเป้า และเมื่อย้ายงานก็ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเกือบ 100% ทำให้ปัญหาเรื่องสตางค์ถูกแก้ไขไป

ส่วนเรื่องคดีความต่างๆ แปลกมากคือ เหมือนผมไม่ต้องทำอะไรเลย ทุกอย่างเหมือนถูกแก้ไขด้วยตัวมันเอง คดีจากตำรวจส่งให้ศาล ศาลนำสืบโดยเจ้าหน้าที่ เรียกผู้เสียหายมาตกลงผู้เสียหายคนขับรถมอเตอร์ไซต์กลับไปต่างจังหวัดแล้ว ในวันขึ้นศาลก็นั้งรถไฟมาขึ้นศาลให้และบอกยอมความคดีต่างๆเลยจบลงด้วยดี โดยผมแถบไม่ต้องทำอะไรเลยคือ ไปวันที่ศาลนัด 1วัน คุยกับผู้เสียหาย 1วัน จบ ตำรวจและเจ้าหน้าที่ศาลบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "ดูแล้วคุณไม่น่ามีพิษมีภัยและน่าสงสาร" เลยพยายามช่วยให้ ซึ่งผมก็ไม่เคยขึ้นศาลมาก่อนไม่รู้เรื่อง ไม่แต่งตั้งทนาย ไม่เตรียมอะไรเลย ไปศาลคนเดียวทำอะไรคนเดียวหมดไม่รู้ทำอย่างไรแต่ก็ผ่านได้หมด  เหตุการณ์นี้เหมือนมีพายุผ่านมาโดยเราหลบอยู่ในฐานกำบังแบบสบายๆ แล้วพายุก็ผ่านไปเราก็ออกมาฟ้าสดใสตอนนั้นรู้สึกแบบนั้นจริงๆ 

                                             ธรรมะย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรมะจริงๆ


วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

หุงข้าว แพ็คข้าวถุง

สำหรับการมาอยู่วัดฯของสาธุชนและอาสาสมัครต้องถือศีล8 อัตโนมัติ คือ ก้าวเข้าในวัดต้องถือศีล8 ทันทีไม่ต้องตั้งตัวเพราะเป็นไปตามๆกันคือ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ถือศีล8 กันเป็นปรกติ ทำให้อาหารและเครื่องดื่มเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาสำหรับคนร่างใหญ่ ทานครบ3มื้อ อย่างผมต้องใส่ใจเรื่องนี้พอสมควร
          ตอนมาวัดฯปรกติจะได้รับประทานอาหารตอนประมาณ11 โมงเช้า(หลังจากพิธีภาคเช้าเสร็จ) 
ช่วงแรกผมไปการรับประทานอาหารจะได้รับแจกเป็นถาดข้าวหลุมมาและเราก็ไปต่อแถวกันยาวววววเพื่อรับข้าวและกับข้าว1-2อย่างกินกัน บางครั้งข้าวหรืออาหารหมดก็จะถือว่าโชคดี(สำหรับผม) เพราะอาจมีแจกมาม่าคัฟ และไปเติมน้ำร้อนทานได้ (สมัยก่อนข้าวราดแกงจานละ 10 บาท มาม่าคัฟ 15 บาท มาม่าคัฟย่อมดีกว่าเป็นธรรมดา)
                 ข้าว+กับข้าวและน้ำจะได้แจกฟรีไม่เสียตังส์ และทานได้ไม่อั้น กินเท่าไหร่ก็ได้ขอให้อย่าให้เหลือ และการกินจะต้องสะอาดมากคือ ไม่กินข้าวหกหล่นกันเลยถ้าหกหล่นก็เก็บ การกินข้าวจะพยายามหรือยัดๆให้กินให้หมด ผมเคยเห็นคนเผลอตักข้าวมาเผื่อเพื่อนแต่เพื่อนดันมีอยู่แล้ว เลยต้องกินเองแต่กินไม่หมดเลยต้องกินยัดไปเผื่อมื้อเย็น ที่เป็นเช่นนี้เพราะที่วัดฯปลูกฝังการประมาณก่อนตักข้าวและกับข้าว ตักเท่าไหร่ต้องกินให้หมดไม่เช่นนั้นจะเป็นหนี้บุญคุณคนทำบุญ
           และการกินต้องสะอาดคือถาดก่อนตักข้าวสะอาดแบบไหนตอนกินเสร็จก่อน ล้างก็แทบจะสะอาดเหมือนเดิม แบบนี้เรียกว่า กินแบบสะอาด (มีวิธีการกินค่อยมาอธิบายภายภาคหน้าเพราะเป็นอีกวัฒนธรรมชาววัดพระธรรมกายซึ่งเห็นปุบรู้ปั้บเลยว่าคนวัดพระธรรมกาย)ตอนล้างเลยง่าย แต่ตอนล้างถาดก็มีระบบล้างถาดที่น่าสนใจคือ การต่อแถวล้างถาดใครถาดท่าน เป็น line  มีขั้นตอน4-5 ขั้นตอนคือ
         1.ก่อนล้างจะตักเศษอาหารออกก่อน ลงในถุงหรือภาชนะที่เตรียมไว้
         2. ล้างน้ำเปล่าด้วยมือในถังผ่าครึ่ง
         3.ล้างน้ำยาทำความสะอาด ในถังผ่าครึ่ง และมีสก็อตไปร์ทำความสะอาด
         4.ล้างน้ำสะดาด1.เพื่อล้างน้ำยาออก
         5.ล้างน้ำสะอาด 2 อีกครั้ง
          นำถาดไปเช็ดผ้าและเข้าไปในที่ตากถาด  (ขั้นตอน2 อาจมีหรือไม่มีก็แล้วแต่สถานะการณ์ อาจมีการลดline ได้)
                (ซึ่งในปัจจุบันสาธุชนมาวัดประมาณมากเลยไม่ได้เห็นการกินข้าวในถาดในงานบุญวันอาทิตย์ แต่จะได้ใช้กันในการทำกิจกกรมพิเศษเช่น กมรอยู่ธุดงค์แก้ว อบรมสามเณร อบรมบวชพระเป็นต้น)
ลักษณะถาดอาหาร

ซึ่งเรื่องอาหารและการกินในวัดฯรับแบบอย่างที่ดีมาจากคุณยายจันทร์ ขนนกยูง เต็มๆคือ สะอาด อร่อย
โดย Concept คุณยายคือ "มาร้อยเลี้ยงร้อย มาล้านเลี้ยงล้าน" ซึ่งที่วัดพระธรรมกายสามารถทำได้จริง         วิธีการหุงหาอาหารก็ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่มีความสามารถสูง ทำงานเก่งหาตัวจับยากเป็นผู้ดำเนินการและวางระบบที่ดีมากๆ เพราะผมมีโอกาสไปสัมผัสงานทางด้านหุงหาอาหารมาเล็กน้อย ยังลิ้นหอยเลยทีเดียว เพราะงานหุงหาอาหารคนมาหลักหมื่นคนแสนคนมาทานข้าวพร้อมกัน ไม่ใช่เรื่องหมูๆ
          โดยผมเคยรับเป็นอาสาสมัคร"หุงข้าว" โอ้งานช่างหนักและง่วงนอนเพราะต้องทำงานตอนเที่ยงคืนให้เสร็จตอนตี4-5 เพื่อจะได้จัดส่งให้แผนกแพ็คข้าวต่อไป ถ้าเป็นการหุงข้าวเลี้ยงคนซัก 1-2ร้อยก็ไม่หนักหนาอะไรแต่นี้ต้องเลี้ยงคนหลักหลายหมื่นประมาณเผื่อไว้ซัก3 หมื่นคน อาสาสมัครทีมผมมีประมาณ15 คนแบ่งเป็น2 line การผลิต หม้อหุงข้าวขนาดยักษ์สูงประมาณ4 เมตร 6ตัว ลักษณะหม้อหุงข้าวจะเรียกว่าหม้อก็ไม่ค่อยถูกเพราะลักษณะคล้ายฝาครอบอาหารทำจากอลูมิเมียมสูง4 เมตรด้านในมีชั่นสำหรับวางถาด 10 ชั้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของถาด ประมาณ1 เมตร และมีท่อไอน้ำนึงข้าวภายในและเอาฝาครอบชั้นกันความร้อนออก โดยเริ่มต้นเราจะตักข้าวใส่ถาดปริมาณข้าวจะอิงตามเกณ์มือใครใส่เยอะใส่น้อยประมาณข้าวสวยเต็มถาดสูงอีก1ข้อนิ้ว กระจายทั่วถาดเท่าๆกันแล้วเอาไปใส่น้ำสูงอีกประมาณ2 ข้อนิ้ว ตามสมควร นำถาดใส่ข้าวและน้ำไปวางบนชั้นให้เต็มทุกชั้นแล้วก็นำฝาลงมาครอบ และปล่อยไอน้ำเข้ามาแล้วรอประมาณ15-20นาทีเป็นอันเสร็จ หลังจากนั้นก็นำข้าวสุกออกจากถาดก็ทำแบบรวดเร็วคือการเอากะละมังขนาดพอดีถาดมาลองแล้วก็ตีถาดลงกะละมังข้าวก็หลุดลงกะละมังพอดี3 ถาด1กะละมัง 1 กะละมังทานได้ประมาณ 100 ถุง/คน)ดังนั้นเราจะต้องทำแบบนี้ 300ถาดหรือ100กะละมังสำหรับ10,000คน //900 ถาดหรือ300กะละมังสำหรับ30,000คน และต้องทำเสร็จก่อนตี5 หรือมีเวลา5 ชม.สำหรับกำลังคน 15 คน
เครื่องหุงข้าวจะคล้ายแบบนี้ครับ แต่จะมีขนาดใหญ่กว่า


แต่ก็ทำจนเสร็จครับ คือทำแข่งกับเวลาจริงๆ เหนื่อยก็เหนื่อยง่วงก็ง่วง แต่เพื่อบุญเวลานั้นก็ทำเต็มที่ครับ
หลังจากการหุงข้าวตอนเที่ยงคืนถึงตี5 ผมก็ยังมีโอกาสดีไปรับบุญเรื่องการแพ็คข้าวต่อในคืนถัดมาคือ เริ่มแพ็คข้าวตอนตี4 คือการแพ็คข้าวคือ การนำข้าวสุกในกะละมัง(จำได้ไหมครับ) เอามาใส่กับถุงใสและใส่กับข้าวและช้อนตักข้าว ให้พอดีประมาณ1คน1อิ่ม ขั้นตอนทำไม่ยากครับ แต่ทำให้เสร็จก่อน6โมงเช้านี้ดิครับ แพ็คกันมือละวิงเลยครับเพราะแพ็คข้าวกันเป็นหลายหมื่นถุงคนแพ็คก็เยอะกว่าหุงข้าวครับหลัก50-60คน

ปล. ตัวเลขต่างในบทความนี้ผมใช้คำจำเอา ซึ่งอาจมีผิดพลาดบ้างก็ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยครับ 

ซึ่งการทำงานใหญ่ให้สำเร็จนั้นต้องทำให้ง่ายที่สุด บุคคลากรสำคัญที่สุดคือต้องมีใจของผู้เสียสละงานใหญ่จึงจะสำเร็จได้

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

ระทับใจแรก คือ รองเท้า

ระทับใจแรก คือ รองเท้า

หลังจากที่ผมได้ทำความรู้จักวัดพระธรรมกายได้ 2-3 สัปดาห์โดยการมานอนพักในคืนวันเสาร์และกลับในวันอาทิตย์ ผมก็ได้ร่วมกิจกรรมอาสาสมัครแบบมั่วๆตามแบบผมคือ ใครให้ทำอะไรก็ทำ ว่างๆก็เดินไปของานเค้าทำ  ไม่สังกัดไปคนเดียวกลับคนเดียว แอบดูอยู่ห่างแบบ งง งง เก็บทุกอย่างไว้ในใจ แต่สิ่งที่สร้างความประทับใจสิ่งแรกในกระบวนการจัดการของวัดฯสำหรับผม คือ "รองเท้า" มีเรื่องน่าสนใจหลายส่วน เช่น การเรียงรองเท้าเป็นระเบียบของสาธุชน ตอนมาเข้าฟังธรรม ปฏิบัติธรรมหรือมีกิจกรรมต่างๆ โดยจะมีผู้รับหน้าที่เรียงรองเท้า ผมรู้สึกได้ว่าคนทำหน้าที่นี้จะมีความสุขมากเหมือนได้ทำหน้าที่อันทรงเกียรติ ในการคอยจัดเรียงรองเท้าของทุกๆคนที่มาเป็นร้อยเป็นพันคู่ โดยพยายามจับคู่รองเท้าให้ถูกต้องและเรียงเป็นระเบียบ แถวสวยงาม (อันนี้มาทราบตอนหลังว่าเป็น วัฒนธรรมของหลวงพ่อทัตต ตอนท่านยังไม่ได้บวช(คุณเผด็จ) ที่ท่านมาแอบมาจัดเรียงรองเท้าคนมาปฏิบัติธรรมกับท่าน ตอนที่ทุกคนกำลังนั่งสมาธิ ท่านก็แอบมาจัดรองเท้าให้เป็นระเบียบ ::ขอบคุณคำแนะนำทุกคำแนะนำครับ ผมเขียนจากความจำ100% ทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้กราบขออภัยครับ)

เรื่อง"รองเท้า"ถัดมาคือ 
การถอดรองเท้าตอนเข้าห้องน้ำ(สาธารณะ)ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมว่าแปลก แต่พอเห็นห้องน้ำสะอาดขนาดนอนได้ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมคนจึงกล้าถอดรองเท้าเข้าห้องน้ำสาธารณะ แต่ผมอันนี้ผมไม่แปลกใจมากเพราะผมเคยแอบไปเข้าห้องน้ำที่ชมรมพุทธที่เกษตร ก็พบป้ายให้ถอดรองเท้า  ก่อนเข้าห้องน้ำตอนแรกก็ไม่กล้าพอเข้าไปแล้วเห็นสะอาดดีเลย กลับออกมาถอดแล้วเข้าไปใหม่ 55 ชาวชมรมพุทธที่เกษตรก็คงเอาวัฒนธรรมความสะอาดและการถอดรองเท้าเข้าห้องน้ำมาจาก วัดฯแน่ๆ (ตอนหลังๆเห็นคนเยอะมากๆก็มีการปรับให้เปลี่ยนรองเท้าสำหรับใช้ในห้องน้ำแทน)

อีกเรื่องของ"รองเท้า"คือ
การสร้างช่องจอดรองเท้าสำหรับรองเท้าโดยเพราะซึ่งเป็นการตีตารางสีขาวเป็นช่องๆสำหรับจอดรองเท้า พอดีรองเท้า1คู่1ช่อง เพื่อช่วยในการเรียงรองเท้า ให้สะดวกและเป็นระเบียบแบบง่ายๆประหยัดปะโยชน์สูง ตามอาคารต่างๆตรงประตูทางเข้าจะมีช่องจอดรองเท้าไว้ให้เพื่อความเป็นระเบียบดูแล้วสบายตาดีและมีประโยชน์จริงๆ



ซึ่งแค่การจัดการ"รองเท้า" ก็รู้สึกถึงความละเอียดและใส่ใจ ของคนวัดพระธรรมกายแล้ว


ปล.ตอนหลังๆสาธุชนมากันหลักหลายๆหมื่น เป็นแสนก็ปรับให้มีการใส่ถุงใส่รองเท้าเพื่อความสะดวกรวดเร็วและแก้ปัญหาเรื่องรองเท้าหาย รองเท้าหลง รองเท้าเหม็น รองเท้าไม่สะอาด ฯลฯปัญหารองเท้าได้หมดจดจริงๆ  แต่ตามอาคารต่างๆก็ยังมีวัฒนธรรมคุณยายเรื่องการจัดเรียงรองเท้าอยู่

จริงๆถ้ามานึกเรื่อง"รองเท้า"ของวัดพระธรรมกายก็มีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น รุ่นของรองเท้าพระจะมีลักษณะคล้ายกันเพราะเคยเดินธุดงค์เท้าเปล่ามาด้วยกัน(รุ่นเดินธุดงค์เดียวกัน) ก็จะมีสาธุชนมาถวายรองเท้าให้หลังจากเดินเสร็จ ,เรื่องวิธีการแก้ไขปัญหารองเท้าหายในห้องน้ำ โดยการจัดสร้างเป็นรุ่นพิเศษ ต่างๆหลายอย่างซึ่งดูแล้วเป็นเรื่องความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่คือ

         "ถ้าทำงานหยาบให้ละเอียดก็สามารถเข้าถึงความละเอียดภายในได้ง่าย"


วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

การมาวัดฯครั้งแรก

การมาวัดพระธรรมกายครั้งแรกของผม

ผมมีเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นเพื่อนเรียนในโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยมต้น-ปลาย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  เพื่อนผมคนนี้เราสนิทกันมากกว่าแค่เรียนหนังสือ เพราะเรายังเป็นแก็งส์เดียวกัน คือ เราเคยเล่นไพ่ กินเหล้า หนีโรงเรียนมาเล่นไพ่ที่บ้านเพื่อนคนนี้ตั้งแต่ เด็กๆโดยครอบครัวของเพื่อนนี้ก็ยังน่ารัก คือ เห็นแก็งส์เราๆเล่นไพ่กันที่บ้านของเพื่อนคนนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็ทำกับข้าวให้กินกล้วลูกๆเล่นไพ่นานๆแล้วหิว และชวนกินเหล้าด้วยในตอนค่ำๆ  ทำให้ครอบครัวของเพื่อนคนนี้ของผมนับเป็น Idol ของแก็งส์เราไปโดยปริยาย


ตอนเรียน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผมเห็นเพื่อนผมคนนี้ค่อยๆเปลี่ยนไป และมาชัดเจนตอนปี 3 คือเราไปกินข้าวรับน้องใหม่ประจำจังหวัดด้วยกันและไปต่อที่ Pub ฯลฯ แถวเสนา ใกล้ๆมหาวิทยาลัย เพื่อนคนนี้ไม่เคยมากินเหล้าด้วยกับผมนานแล้วจนจำไม่ได้ว่ากินเหล้ากันครั้งสุดท้ายเมือไหร่อาจจะนานมากจนถึงสมัยมัธยม แต่ครั้งนี้ต้องมารับน้องด้วยกันเลยจำเป็นต้องมาด้วย (แบบว่าบังคับให้มา) และการมารับน้องครั้งนี้ผมก็รู้ความจริงว่าเพื่อนคนนี้ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นไพ่แล้วและยังอยู่ชมรมพุทธที่เกษตร และเป็นถึงรองประธานชมรมพุทธที่เกษตรด้วย 

ผมก็เก็บข้อสงสัยไว้กับตัวเองแต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไร คือ สงสัยเสร็จก็เก็บไว้เฉยๆ ไม่ถามต่อแต่ก็ยินดีกับเพื่อนที่เลิกเหล้าได้ ไม่บังคับหรือผืนให้กินเหล้าด้วยกันแต่อย่างไร 

จนมีช่วงหนึ่งที่ผมต้องมาเรียนตอนเช้าก่อน 8 โมงเช้า ทำให้ผมเห็นกิจกรรมถวายสังฆทานใต้ตึกศูนย์เรียนรวม 1 ของชมรมพุทธ และผมได้เข้าร่วมถวายสังฆทานหลายครั้ง แม้บางครั้งผมจะพึ่งส่างเหล้ามาก็ตามยังมีกลิ่นเหล้านิดๆ (ละมุด) สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นแล้วรู้สึกติดตามาจนถึงปัจจุบัน คือ พระพุทธรูปที่นำมาร่วมในงาน เป็นพระพุทธรูปที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา คือ มีลักษณะสมส่วน กลมกลึงไม่ใหญ่ไม่เล็ก ดูสวยงามสมส่วนไปหมดตั้งแต่เศียรจรดปลายฝ่าพระบาท (ตอนหลังมารู้ว่าเป็นลักษณะของมหาบุรุษ 32 ประการ) สิ่งนี้นับเป็นความประทับใจแรกของผมเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ซึ่งตอนนั้นผมไม่ทราบจริงๆว่าเป็น พระวัดพระธรรมกาย แต่ได้มาทราบภายหลัง

ลักษณะพระพุทธรูปที่นำมาเป็นพระประธานในพิธีตักบาตรสังฆทาน ใต้อาคารศูนย์เรียนรวม1 ม.เกษตรศาสตร์ 



ตอนเรียนมหาลัยฯผมกับเพื่อนคนนี้เราก็พบกันในมหาวิทยาลัยบ้างตามงานต่างๆเป็นปรกติ โทรคุยกันบ้างแต่ก็ไม่ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องวัด พระ หรือ อะไรที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา เพราะช่วงผมเรียนมหาวิทยาลัยช่วงปี 4 เป็นช่วงที่ผมกินเหล้ามาก คือ กินเกือบทุกวัน ถือเป็นสายแข็งของภาควิชา และเป็นยอดยุทธของเพื่อน (กินเหล้าขนาดนั้นลงนรกแน่ๆ เพราะตอนนั้นขนาดผมคิดเปลี่ยนหน่วยเงินในกระเป๋าตัวเองเป็น “แบน”ได้(เหล้าแบน)  เช่น มีเงิน 200 บาท  = คือกินเหล้า 2 แบน ทำให้เพื่อนคนนี้เห็นว่า คงยังไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่จะบอกผมเกี่ยวกับเรื่องวัด เรื่องพระและพระพุทธศาสนา 

จนผมเรียนจบ มหาวิทยาลัย เพื่อนคนนี้ก็โทรมาคุยเป็นปรกติ นานๆโทรมาที และคุยกันหลายๆเรื่องและมีเรื่องหนึ่งที่สะดุดใจคือ เพื่อนคนนี้มาเป็นอาสาสมัคร บัณฑิตแก้ว ที่วัดพระธรรมกาย ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเลย ก็แค่รับทราบว่าเพื่อนคนนี้มาเป็นอาสาสมัครที่วัด อะไรซักอย่างแต่ผมก็ยัปฏิบัติตนเหมือนปรกติคือ ทำงาน กินเหล้า คือ กินเหล้าศูกร์ เสาร์ อาทิตย์พักผ่อนเป็นธรรมดากิจวัตรประจำมาเป็น ปี จนมาถึงจุดเปลี่ยนแห่งชีวิตคือ ผมมากินเบียร์กับเพื่อนในงานเกษตรแฟร์ ปี2540 โดยตอนก่อน เดินทางไปกินก็คิดว่าขับรถไปไม่ได้เพราะเมาจะได้นั้ง taxi กลับตอนขาไปก็นั้งTaxi ไป พอทานเหล้าและเบียร์ไปผมก็เมา และพอเมาแล้วหลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้ รู้สึกตัวอีกทีคือ ได้ขับรถของผมเองอยู่ไม่ไกลจากที่พัก และรถสถาพคือ โดนชนกระจกแตก และผมก็นั้งหลังพวกมาลัย ผมจำไม่ได้ว่าผมกลับจากงานเกษตรแฟร์ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรฯตอนไหน และมายังไง และมาขับรถได้อย่างไร และตอนชนกันเป็นอย่างไร รู้ตัวอีกทีก็อยู่หลังพวกมาลัย และก็มีตำรวจมาจับพาไปโรงพยาบาล และก็พาผมมาฝากขังที่ห้องขัง นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมอยู่ในห้องขัง จนตอนเช้าและบ่ายผมได้ติดต่อเพื่อนให้พ่อเพื่อนมาช่วยประกันตัวออกไป 

หลังจากเกิดเหตุการณ์ ผมจะต้องไปรายงานตัวกับตำรวจและถูกสั้งฟ้องขึ้นศาล ซึ่งผมรู้สึกเคล้งคว้างมาก เงินก็ไม่มี งานก็ต้องทำ เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ลำบากใจเลย เพราะท่านอยู่ต่างจังหวัดกลัวว่าจะลำบากมาและกังวลใจเลยตัดสินใจไม่ได้บอกท่าน ปัญหาต่างๆก็เข้ามาผมก็เก็บไว้คนเดียว สิ่งที่ผมคิดได้คือ ผมมีเพื่อนคนนี้อยู่ที่วัด ผมจะไปหาเพื่อไปสงบจิตใจ ในวันเสาร์ผมเลยตัดสินใจหอบ Notebook พร้อมเสื้อผ้าตัดสินใจไปวัดพระธรรมกาย โดยรู้แต่เพียงว่า ขึ้นรถเมย์สาย 29 ตรงหลัง ม.เกษตรฯ เพราะโทรไปหาเพื่อนคนนี้แต่ไม่มีคนรับคือติดต่อไม่ได้

แผนที่เดินทางไปวัดพระธรรมกาย


พอขึ้นรถเมย์ ผมก็บอกกระเป๋าว่าจะไปวัดพรธรรมกาย กระเป๋ารถเมย์บอกว่าลงเชียงราก ผมก็ “อือ” (คิดในใจตรงไหนหว่า) ผมก็บอกกระเป๋ารถเมย์ว่า “ถ้าถึงเชียงรากก็บอกด้วยแล้วกัน” พอถึงเชียงรากใกล้ๆ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิตผมก็ลงตามที่กระเป๋าบอกและผมก็สอบถามคนแถวนั้นว่ามาวัดพระธรรมกายไปยังไงต่อ ก็ทราบว่าต้องเดินข้ามถนนไปต่อ รถมอเตอร์ไซต์ ผมก็ทำตามและบอกว่ากับ พี่รถมอเตอร์ไซต์ว่าไปวัดพระธรรมกาย พี่เค้าก็บอกต่อมาว่า”ไปลงตรงไหน” ผมก็ตอบไปว่าไป”วัดพระธรรมกาย” พี่เค้าก็ทำหน้า งง แต่ก็ไป ผมก็คิดในใจว่า งง ทำไม โดยในความคิดผมตอนนั้น วัดพระธรรมกายเหมือนวัดแถวบ้านผมที่ต่างจังหวัดคือ มีบริเวณไม่กว้างมาก สามารถเดินหากันเจอได้ง่าย

ตอนผมนั้งรถมอเตอร์ไซต์ พี่คนขับก็ถามว่า “ไปลงตรงไหน” ผมก็ตอบไปอีกว่า “วัดพระธรรมกาย” พี่มอเตอร์ไซต์ก็ย้ำอีกทีว่า “ลงตรงไหน” ผมก็สงสัยแล้ว ก็ตอบไปว่า “เดียวไปถึงจะบอก” พอมาถึงวัดและขับรถผ่านหน้าประตูวัดมาด้านหน้า(ตรงบริเวณประตูเข้า วิหารหลวงปู่ปัจจุบัน)  ในตอนนั้นเป็นที่โล่ง สุดลูกหูลูกตา ผมก็อุทานเบาๆ ว่า “โอ้ แล้วมันยังไงนี้” พี่มอเตอร์ไซต์ก็บอกว่า “จะให้ไปส่งตรงไหน” เวลานั้นผมหันไปเจอ อาคารหนึ่งอยู่ไม่ไกลมาก ผมก็บอกว่า “พี่ๆไปจอดตรงนั้น” พร้อมชี้มือไปที่อาคารหนึ่ง มีรูปปั้นช้างตัวใหญ่อยู่ เพราะนอกนั้นเป็นพื้นดินแดงว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา พอมอเตอร์ไซต์พามาส่งยังอาคาร ผมก็แปลกใจมากว่าทำไม วัดถึงได้ใหญ่ ขนาดนี้และจะหาเพื่อนผมเจอได้อย่างไร ....วันนั้นถือเป็นวันประวัติศาสตร์ในชีวิตของผมที่ได้มาถึง “วัดพระธรรมกาย” โดยที่ไม่รู้เรื่องราวของวัดเลยทั้งด้านบวกหรือลบ รู้แต่เพียงว่าผมมีเพื่อนเป็นอาสาสมัคร “บัณฑิตแก้ว” ชื่อ “อรรถชาติ”   ( ซึ่งปัจจุบันเพื่อนท่านนี้ได้บวชเป็นพระอุทิศตนสร้างความดี สร้างบุญบารมี กับหมู่คณะที่วัดพระธรรมกายครับ )  

หลังจากนั้นผมก็ได้สอบถามคนแถวอาคารนั้นว่า ผมจะได้พบ “บัณฑิตแก้ว ชื่อ อรรถชาติ”ได้ที่ไหนถามไป เจ้าหน้าที่ก็ดีมากคือ โทรสอบถามให้และแนะนำว่าตอนนี้ บัณฑิตแก้วเตียมงานบวช พระนักเรียนนายร้อยที่โบสถ์ และแนะนำผมให้เดินไปพบเพื่อนผมที่นั้น พอไปถึงก็ได้พบเพื่อนผม และแจ้งบอกกับเพื่อนผมว่า “ผมจะขอมานอนด้วย” เพื่อนผมก็ งง แต่ก็ยินดี และบอกว่าผมว่างไหมให้มาช่วยงานเตรียมบวชพระที่โบสถ์ ผมก็  OK แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ได้ใช้แรงงานแบกหาม ปูเสื่อ และทำความสะอาดและเป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปใต้ถุนโบสถ์ที่เก็บเสื่อ ทำให้ผมทราบข้อมูลภายหลังว่ามีคนกล่าวหาว่าใต้ถุนโบสถ์เป็นที่เก็บอาวุธสงคราม ผมได้ยินภายหลังจากที่ผมได้เข้าวัดและได้เข้าไปใต้ถุนโบสถ์แล้วก็เลยไม่เชื่อ เพราะผมเห็นกับตาเพราะไปแบกมากับตัวเองว่าเป็นเสื่อเป็นม้วนๆ ที่ใช้ในงานกิจกรรมบวชและอุปกรณ์ต่างๆ นับเป็นการมาวัดพระธรรมกายครั้งแรกของผมกับ สิ่งที่ผม งง กับความใหญ่ของพื้นที่วัดที่ว่างเปล่า และได้บุญยลาภอันใหญ่คือ ไปช่วยงานบวชพระ

                                                         โบสถ์วัดพระธรรมกาย



พอตอนค่ำเพื่อนผมก็พาผมไปลงทะเบียนนอนเป็น อาสาสมัคร ซึ่งผมได้รับ กลด หมอนและผ้าห่มไปนอนรวมกับ อาสาสมัครคนอื่นๆที่ โรงนอนมุงจาก ภายใต้มุ่งขนาดใหญ่เท่าห้องอันเดียวกัน นอนเรียงกันเป็นแถว โดยทุกคนปูผ้า หรือไม่ปูผ้านอนเพราะมีเสือน้ำมันอยู่แล้ว โดยแต่ละคนมีกลดของใครของท่าน อยู่บางคนต้องการความเป็นส่วนตัวก็ ใช้กลด บางคนก็ไม่ ผมก็เป็นคนที่ไม่ใช้กลดนอน เพราะทำไม่เป็น ฮา ฮา 

นับเป็นวันและคืนแรกที่ผมได้มาวัดพระธรรมกาย โดยหลังจากนั้นก็มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้น เพราะผมเข้าวัดในปี พ.ศ.2540 เกิดเหตุการณ์กับวัดและเกิดเหตุการณ์กับผมมากมาย  คงไม่สามารถสรุปได้ในระยะเวลาอันสั้นเพราะระยะเวลารวมก็มากกว่า 19 ปี (ตอนบันทึกปี 2559)มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นมากมายที่ผมอยากจะบันทึกไว้ เช่น  การชวนเพื่อน, ตอนเที่ยวก็เที่ยวเหล้าก็กิน วัดก็เข้า, การต้องจากวัดมาไกลถึงเชียงใหม่, วิธีเลิกกินเหล้า, การฝึกนั้งสมาธินั้งปวดหัวปวดตัว มืดตือมืดมิดมามากกว่า  10 ปี และ การฝึกสมาธิ, การตัดใจบริจาคทานเริ่มต้นจากเหรียญบาท กลายเป็นหลักแสนได้ไง แบบ งงตัวเอง ,การชวนแม่มาวัดพระธรรมกาย ,การชวนเพื่อนบวช การตัดสินใจบวชครั้งที่ 1 ,การตัดสินใจบวชครั้งที่ 2  และอีกหลายๆเรื่องที่ผมจะทำบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ส่วนตัว ให้ผมได้มาเตือนสติตัวเองว่า

               “เราไม่ได้ดี เราไม่ได้เก่ง แค่เราไม่เลิกในการสร้างบุญบารมีเท่านั้นเอง“